เมลเบิร์น เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก Self acceptance-key to happiness


เมลเบิร์น ดูเป็นเมืองที่มีบรรยากาศสบายๆมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นมาก
คุณภาพชีวิตของผู้คนที่นี่ จัดได้ว่าดีมาก
แต่กว่าบรรยากาศแห่งความสุขของผู้คนจะเปล่งประกายแบบนี้
กว่าอารมณ์เมืองจะนิ่ง สงบ และเป็นผู้ใหญ่
กว่าที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมจะอยู่ร่วมกันได้แบบชิลๆ
( กล่มอะบอริจิน กลุ่มเชื้อชาติยุโรปและเอเซียกว่า 22 เชื้อชาติ
7 ศาสนา 7 ภาษาหลัก 70 ภาษาท้องถิ่น)
จนติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
ติดชาร์ตเมืองที่เหล่าฮิปสเตอร์ต้องแวะไปเที่ยวสักครั้ง
เมลเบิร์น ออสเตรเลีย ต้องผ่านอะไรมาบ้างน้อ ??....
ประเทศที่พัฒนาแล้ว เหมือนคนที่มีประสบการณ์ในชีวิตมามาก
ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความขัดแย้งต่างๆนานา
ผ่านการวิเคราะห์ คิดทบทวน ในบทบาทชีวิตที่เคยเป็น
ผ่านการยอมรับความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง
ผ่านบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ บทชีวิตที่ต้องปรับปรุง และแก้ไข
ความโหดร้ายที่บรรพบุรษคนผิวขาวเคยกระทำกับชาวพื้นเมืองอะบอริจินเดิม
ถูกประกาศ ถูกตั้งคำถาม หรืออาจเรียกได้กลายๆว่าถูกประจานในพิพิธภัณฑ์แห่งเมือง
บทเรียนแห่งมนุษยธรรม ถูกชำระเพื่อส่งเมสเสจแก่คนรุ่นหลัง
ให้ยอมรับได้ว่า ว่าไม่มีใครนั้นสมบูรณ์แบบ
แม้แต่บรรพบุรุษคนขาวผู้เข้ามาครอบครองดินแดน
และสร้างความเจริญให้กับออสเตรเลียของเราเอง ก็ไม่ได้ดีเลิศไปเสียทั้งหมด
ความปรารถนาดีอาจเป็นความปรารถนาร้าย เมื่อมนุษย์ถูกแบ่งฝ่าย
ดังนั้นจงอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างให้เกียรติ คุณถึงจะมีความสุข
แม้ในยุคแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย ที่ประเทศเฟื่องฟูในยุคขุดทอง
ก็นำพาความวุ่นวาย ไร้ระเบียบของมวลชนที่แห่กันมาแสวงหาโอกาสและตั้งรกราก
จนต้องมีกฎหมายที่จัดระเบียบสังคมแบบเข้มข้น
การจัดการกระแสความหลากหลาย ดำเนินคืบหน้าไปกับสร้างความเจริญในประเทศ
พร้อมการปรับปรุงคุณภาพชีวิต สุขภาพ ความปลอดภัย การศึกษา ของชาวเมือง
จิตวิญญาณการสร้างชาติ ”ใหม่” ของชาวออสเตรเลียจึงค่อยๆหลอมรวมและตกผลึก
จนปัจจุบัน ออสเตรเลีย ถือเป็นหนึงในประเทศที่นอกจากร่ำรวยเป็นอันดับที่ 12ของโลก
แล้ว ยังถือเป็นเมืองน่าอยู่เพราะที่มีวิถีสังคมที่มี diversities ที่สวยงามมาก
และนั่นคือสิ่งที่เราพบเจอตามถนนหนทาง ผู้คนบนถนนหน้าตาหลากหลายเชื้อชาติ
อาหารใน food court ต่างๆมีมากกว่า 10 ชาติขึ้นไป กรีก เมดิเตอร์เรเนียน อิสลาม
จีน อิตาลี ไทย เวียดนาม อินโด ญี่ปุ่น เกาหลี แถมยังมีอาหารสูตรฟิวชั่นอีกต่างหาก
ความสัมพันธ์ของผู้คนที่นี่จึงผสมผสาน หลากหลาย
อยู่กันแบบคาบเกี่ยวกัน แต่ไม่ล้ำเส้นกันบนความพอดี
อาจเป็นเพราะอารมณ์เมืองที่ดูสบายๆ ไม่เคร่งเครียด มีร้านกาแฟสวยน่านั่งพักเต็มไปหมด
อาจเป็นเพราะผังเมืองที่ถูกวางระบบมาอย่างดีเยี่ยม เป็นบล็อคสี่เหลี่ยมเป๊ะ
เป็นระเบียบ จึงเดินถึงทุกที่อย่างง่าย ไม่หลงทาง
อาจเป็นเพราะมีรถรางบริการฟรีตลอด สำหรับโซนตัวเมืองชั้นใน
มีห้องน้ำและเก้าอี้นั่งพักตามบริเวณท่องเที่ยวเหลือเฟือ
อาจเป็นเพราะมีอาหารที่ไม่ถึงกับอร่อยที่สุด แต่ตอบรับสำหรับทุกเชื้อชาติ
อาจเป็นเพราะเป็นเมืองที่มีเวลาเดินไปอย่างพอดี
ที่ผู้คนมีเวลาดื่มด่ำกับการใช้ชีวิตแบบไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป
และที่โดดเด่น น่าจะเป็นเพราะการให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่
และการอนุรักษ์ต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวหลายร้อยปี
เพื่อเป็นแหล่งธรรมชาติที่ส่งพลังสดชื่นให้ผู้คนในยามที่ต้องการ
ทั้งหมดนี้ คงเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ทำให้เมลเบิร์น ติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดโลกก็เป็นได้
เมื่อความคิดของเราตกตะกอน ละวางความคาดหวังในตัวเอง ยอมรับอดีตที่เคยผิดพลาด
ยอมรับทุกสิ่งที่เราเป็น และตระหนักว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
เปิดใจพร้อมเรียนรู้ พร้อมที่จะรักและเข้าใจ
คนที่คิดต่างและแตกต่างได้ ความสุขก็คงงอกงามในสังคมที่เป็นบ้านของเราไม่แพ้ที่ไหนๆเช่นกัน
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เมืองไทยก็คงชิงอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกมาครองเป็นแน่แท้ค่ะ ^-^






























Comments